Dcleanfood.com : สารเร่งเนื้อแดง อันตรายใกล้ตัวที่มากับเนื้อสัตว์
สารอาหารหลักที่ร่างกายต้องการเพื่อนำไปเสริมสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอคือสารอาหารจำพวกโปรตีน ซึ่งมีอยู่ในเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ธัญพืชหรือพืชตระกูลถั่ว ถ้าเราเลือกรับประทานอาหารตามหลักของอาหารคลีน (Clean Food) เราจะเลือกรับประทานสารโปรตีนจากพืชตระกูลถั่วหรือธัญพืชเป็นหลัก แต่อาหารโปรตีนที่คนไทยนิยมรับประทานมากที่สุดคือเนื้อสัตว์ ซึ่งการเลือกเนื้อสัตว์ของคนไทยส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจที่ผิดอยู่เนื่องจาก คนส่วนใหญ่มักเลือกเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงสดน่ารับประทานและมีปริมาณเนื้อแดงมากกว่าไขมันโดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งสีแดงสดน่ารับประทานของเนื้อสัตว์ดังกล่าวนั้นเกิดจากสารเร่งเนื้อแดงที่มีอันตรายอย่างมากต่อร่างกายของผู้รับประทาน
สารเร่งเนื้อแดงคืออะไร ?
สารเร่งเนื้อแดงคือสารในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (b-Agonist) สารนี้ใช้กันอย่างมากในการผลิตยาที่ใช้ในการบรรเทาโรคหอบ หืด โดยสารนี้มีจุดเด่นในการช่วยให้กล้ามเนื้อขยายตัว และช่วยในการขยายหลอดลมทำให้การหายใจทำได้สะดวก สารเร่งเนื้อแดงที่พบว่ามีการใช้กันมากในประเทศไทยมีด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่สาร เคลนบิวเทอรอล และซาลบูทามอล ซึ่งสารเร่งเนื้อแดงทั้งสองตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยในการขยายกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะหมูและวัว นำสารทั้ง 2 ชนิดนี้ผสมกับอาหารให้หมูและวัวรับประทาน ทำให้เนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่เกษตรกรเลี้ยงนั้น มีส่วนของเนื้อแดงมากขึ้น ชั้นไขมันในเนื้อสัตว์มีน้อยลง และเนื้อแดงมีสีสดน่ารับประทาน ทำให้เกษตรกรขายเนื้อหมูและเนื้อวัวได้ราคาดีกว่าเดิม
สำหรับในเรื่องของการส่งออกเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัวและเนื้อหมูไปยังต่างประเทศนั้น การที่เกษตรกรชาวไทยใช้สารเร่งเนื้อแดงในกลุ่มสารเบต้าอะโกนิสต์ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากสำหรับการส่งออก โดยสารกลุ่มนี้เป็นสารต้องห้ามของประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของประเทศไทย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) และประเทศอื่นๆ หากพบสารในกลุ่ม เบต้าอะโกนิสต์ ในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่มีการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ดังกล่าว เนื้อสัตว์เหล่านั้นจะถูกระงับการนำเข้า สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและชื่อเสียงในการเป็นแหล่งผลิตเนื้อวัวและเนื้อหมูแหล่งสำคัญของโลกอย่างประเทศไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องสารเร่งเนื้อแดง และเลือกรับประทานเนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่มาจากธรรมชาติเพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและวัวเลือกใช้สารเร่งเนื้อแดงผสมกับอาหารสัตว์ให้หมูและวัวรับประทาน เพื่อให้การส่งออกเนื้อหมูและเนื้อวัวของประเทศไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในปริมาณที่สูงเหมือนเดิมครับ และที่สำคัญช่วยให้ผู้บริโภคไม่ได้รับสารเร่งเนื้อแดงเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายซึ่งจะเป็นอันตรายเป็นอย่างมากครับ
พรุ่งนี้เราจะมาพูดถึงอันตรายของสารเร่งเนื้อแดงกันต่อนะครับ เนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับคนไทยมาอย่างยาวนานนะครับ แต่เราก็สามารถเลือกรับประทานอาหารประเภทอื่น ๆ ที่ให้โปรตีนได้เช่นเดียวกัน โดยหากเราเลือกรับประทานอาหารเจ อาหารมังสวิรัติหรือ อาหารคลีน (Clean Food) ในบางเมนูเราก็จะได้รับสารโปรตีนที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่ต้องเสี่ยงกับสารเร่งเนื้อแดงด้วย
สารอาหารหลักที่ร่างกายต้องการเพื่อนำไปเสริมสร้างร่างกายให้เจริญเติบโตและช่วยซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอคือสารอาหารจำพวกโปรตีน ซึ่งมีอยู่ในเนื้อสัตว์ต่าง ๆ ธัญพืชหรือพืชตระกูลถั่ว ถ้าเราเลือกรับประทานอาหารตามหลักของอาหารคลีน (Clean Food) เราจะเลือกรับประทานสารโปรตีนจากพืชตระกูลถั่วหรือธัญพืชเป็นหลัก แต่อาหารโปรตีนที่คนไทยนิยมรับประทานมากที่สุดคือเนื้อสัตว์ ซึ่งการเลือกเนื้อสัตว์ของคนไทยส่วนใหญ่ยังมีความเข้าใจที่ผิดอยู่เนื่องจาก คนส่วนใหญ่มักเลือกเนื้อสัตว์ที่มีสีแดงสดน่ารับประทานและมีปริมาณเนื้อแดงมากกว่าไขมันโดยเฉพาะเนื้อหมู ซึ่งสีแดงสดน่ารับประทานของเนื้อสัตว์ดังกล่าวนั้นเกิดจากสารเร่งเนื้อแดงที่มีอันตรายอย่างมากต่อร่างกายของผู้รับประทาน
สารเร่งเนื้อแดงคืออะไร ?
สารเร่งเนื้อแดงคือสารในกลุ่มเบต้าอะโกนิสต์ (b-Agonist) สารนี้ใช้กันอย่างมากในการผลิตยาที่ใช้ในการบรรเทาโรคหอบ หืด โดยสารนี้มีจุดเด่นในการช่วยให้กล้ามเนื้อขยายตัว และช่วยในการขยายหลอดลมทำให้การหายใจทำได้สะดวก สารเร่งเนื้อแดงที่พบว่ามีการใช้กันมากในประเทศไทยมีด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่สาร เคลนบิวเทอรอล และซาลบูทามอล ซึ่งสารเร่งเนื้อแดงทั้งสองตัวนี้มีคุณสมบัติช่วยในการขยายกล้ามเนื้อได้เป็นอย่างดี ทำให้เกษตรกรผู้เลี้ยงสัตว์โดยเฉพาะหมูและวัว นำสารทั้ง 2 ชนิดนี้ผสมกับอาหารให้หมูและวัวรับประทาน ทำให้เนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่เกษตรกรเลี้ยงนั้น มีส่วนของเนื้อแดงมากขึ้น ชั้นไขมันในเนื้อสัตว์มีน้อยลง และเนื้อแดงมีสีสดน่ารับประทาน ทำให้เกษตรกรขายเนื้อหมูและเนื้อวัวได้ราคาดีกว่าเดิม
สำหรับในเรื่องของการส่งออกเนื้อสัตว์โดยเฉพาะเนื้อวัวและเนื้อหมูไปยังต่างประเทศนั้น การที่เกษตรกรชาวไทยใช้สารเร่งเนื้อแดงในกลุ่มสารเบต้าอะโกนิสต์ ซึ่งทำให้เกิดความเสียหายอย่างมากสำหรับการส่งออก โดยสารกลุ่มนี้เป็นสารต้องห้ามของประเทศคู่ค้ารายใหญ่ของประเทศไทย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป (อียู) และประเทศอื่นๆ หากพบสารในกลุ่ม เบต้าอะโกนิสต์ ในผลิตภัณฑ์เนื้อสัตว์ที่มีการส่งออกไปยังประเทศต่าง ๆ ดังกล่าว เนื้อสัตว์เหล่านั้นจะถูกระงับการนำเข้า สร้างความเสียหายทางเศรษฐกิจและชื่อเสียงในการเป็นแหล่งผลิตเนื้อวัวและเนื้อหมูแหล่งสำคัญของโลกอย่างประเทศไทยเป็นอย่างมาก ดังนั้นผู้บริโภคจึงควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องสารเร่งเนื้อแดง และเลือกรับประทานเนื้อหมูหรือเนื้อวัวที่มาจากธรรมชาติเพื่อให้เกษตรกรผู้เลี้ยงหมูและวัวเลือกใช้สารเร่งเนื้อแดงผสมกับอาหารสัตว์ให้หมูและวัวรับประทาน เพื่อให้การส่งออกเนื้อหมูและเนื้อวัวของประเทศไทยมีส่วนแบ่งทางการตลาดในปริมาณที่สูงเหมือนเดิมครับ และที่สำคัญช่วยให้ผู้บริโภคไม่ได้รับสารเร่งเนื้อแดงเหล่านี้เข้าสู่ร่างกายซึ่งจะเป็นอันตรายเป็นอย่างมากครับ
พรุ่งนี้เราจะมาพูดถึงอันตรายของสารเร่งเนื้อแดงกันต่อนะครับ เนื้อสัตว์เป็นแหล่งโปรตีนสำคัญสำหรับคนไทยมาอย่างยาวนานนะครับ แต่เราก็สามารถเลือกรับประทานอาหารประเภทอื่น ๆ ที่ให้โปรตีนได้เช่นเดียวกัน โดยหากเราเลือกรับประทานอาหารเจ อาหารมังสวิรัติหรือ อาหารคลีน (Clean Food) ในบางเมนูเราก็จะได้รับสารโปรตีนที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายและไม่ต้องเสี่ยงกับสารเร่งเนื้อแดงด้วย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น